เกี่ยวกับ TKK
สินค้าอุตสาหกรรม
งานบริการและโซลูชั่น
ขอใบเสนอราคา
ช้อปสินค้าอุตสาหกรรม
ข่าวสารองค์กร
ร่วมงานกับเรา
Thank you! Your submission has been received!
Oops! Something went wrong while submitting the form.
Tech

วิวัฒนาการ หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ของไทย ไปได้ไกลแค่ไหน? ฟังจากทีมผู้สร้างหุ่นยนต์ เจ้าของรางวัลทั้งในและต่างประเทศ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรานำเสนอเรื่องราวของ หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ของไทย ให้ทุกคนได้อัปเดตกัน เพราะสิ่งที่ต้องการเน้นย้ำและถ่ายทอด คือ ความสามารถของคนไทยในการผลิตหุ่นยนต์นั้นไม่เป็นสองรองชาติใดแล้ว โดยเฉพาะในยุคที่เกิดวิกฤตโรคระบาด ซึ่งเป็นตัวแปรที่มาเร่งให้ทุกฝ่ายต้องหันมาร่วมมือกัน เพื่อคิดค้น นวัตกรรม ที่มีคุณสมบัติหลักในการช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องทำงานอย่างเต็มกำลังในช่วงนี้

โดยที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่างระดมสมองคิดค้นและสร้าง หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ ขึ้นหลากหลายรูปแบบ ซึ่งส่วนใหญ่มีจุดประสงค์หลักในด้านป้องกัน ลดความเสี่ยง ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ตลอดช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ด้วย

หนึ่งในนั้น เป็นหุ่นยนต์ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของภาคสถาบันการศึกษาและบริษัทเอกชน ซึ่งได้นำไปใช้ในโรงพยาบาลสนาม เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ แพทย์ พยาบาล ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระลอกที่ผ่านมา นั่นคือ หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ของไทย หรือ หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติสำหรับการบริการทางการแพทย์ (Autonomous Mobile Robot for Hospital Care Services) ที่คิดค้นขึ้นโดย บริษัท ทีเคเค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและจัดจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในโรงงาน, วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM)

ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นปี 2021 เราได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับความเป็นมาของหุ่นยนต์ตัวนี้ เมื่อครั้งไปคว้ารางวัลระดับโลก นั่นคือ รางวัลความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม Innovation Best Award ประจำปี 2020 จากงานมหกรรมนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์แห่งสหราชอาณาจักร (IBIX) มาครองได้สำเร็จ

มาวันนี้ แนวคิดในการพัฒนา หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติสำหรับการบริการทางการแพทย์ ตัวนี้ ได้รับการยอมรับว่าสามารถนำไปปรับใช้ช่วยเหลือภาคการแพทย์และสาธารณสุขไทยได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การันตีด้วยรางวัลระดับชาติมาครองอีกหนึ่งรางวัล นั่นคือ Prime Minister Award: Innovation for Crisis ประเภทหน่วยงานภาคเอกชน (Private Sector)

ทั้งนี้ รางวัลนี้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดงาน Prime Minister Award : National Startup 2021 และ Innovation for Crisis ที่ภายในงานมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มาเป็นประธานในพิธีและผู้มอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้

หลังจากได้รับรางวัลที่มีคุณค่าระดับชาติมาครอง ทีมผู้คิดค้นและสร้าง หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติสำหรับการบริการทางการแพทย์ จึงได้มาสื่อสารให้ทราบถึงแนวคิดในการสร้างหุ่นยนต์ตัวนี้เพิ่มเติมพร้อมเผยถึง Key success factor นั่นคือ ความร่วมมือของทุกฝ่าย ที่จะช่วยยกระดับมาตรฐาน หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ของไทย ให้เทียบเท่าสากลได้

ไม่หยุดแค่สร้าง แต่พัฒนาแนวคิด Cell concept ส่ง หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ของไทย ให้ไปได้ไกลกว่าเดิม

เริ่มต้นจากการไปฟังแนวคิดที่น่าสนใจจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการให้แนวทางและสร้าง หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติสำหรับการบริการทางการแพทย์ ที่ได้รับรางวัลนี้ นั่นคือ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ กัมมาล กุมาร ปาวา อดีตคณบดีคณะแพทย์นานาชาติศาสตร์จุฬาภรณ์ และรองอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มาอัปเดตถึงแนวคิดล่าสุดที่ทำให้ หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ของไทย เวอร์ชั่นนี้ สามารถคว้ารางวัลระดับชาตินี้มาได้

“หุ่นยนต์ตัวแรกที่ทาง TKK ได้รับรางวัล IBIX มานั้น เกิดขึ้นจากการรวบรวมความคิดในการสร้างหุ่นยนต์ในประเทศเพื่อใช้เอง โดยใช้วัสดุ อุปกรณ์ และทรัพยากรที่มีอยู่ จากนั้นจึงลงมือออกแบบเป็นหุ่นยนต์ขนาดใหญ่ เรียกว่า Heavy Duty แบกรับน้ำหนักได้ 150 กก. ซึ่งสามารถช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ในการทำงานที่ต้องขนส่งของที่หนักได้”

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ กัมมาล กุมาร ปาวา อดีตคณบดีคณะแพทย์นานาชาติศาสตร์จุฬาภรณ์ และรองอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“มาในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ให้บริการทางการแพทย์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น ทางทีมงานจึงได้กลับไปวิเคราะห์งานของโรงพยาบาล โดยไปดูรายละเอียดการทำงานของคนทำงานจริง หรือโฟลว์งานของพวกเขาว่าแท้จริงแล้วคืออะไร”

“เราพบว่า มีงานที่ไม่ใช่งานของหมอ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่แต่พวกเขาต้องมาทำ ซึ่งทำให้เสียเวลาในการทำงานหลักที่สำคัญไปอย่างน่าเสียดาย โดยงานเหล่านี้สามารถจัดสรรให้หุ่นยนต์ทำแทนได้ หลายงานเป็นงานที่ต้องทำเหมือนเดิมทุกวัน อาจทำให้คนทำงานเกิดความล้า แต่ถ้าให้หุ่นยนต์ หุ่นยนต์มีข้อดีที่ไม่เหนื่อยล้า แถมบริการได้ 24 ชม.”

“ด้วยเหตุนี้เราจึงนำเสนอแนวคิด Cell concept ที่ใช้ในการพัฒนาหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติสำหรับการบริการทางการแพทย์ เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดขึ้น เพื่อมุ่งเน้นช่วยงานบุคลากรทางการแพทย์ให้ครอบคลุมมากขึ้น”

“โดย Cell Concept เป็นการ Integrate หรือเชื่อมโยงการทำงานของหุ่นยนต์เข้ากับระบบปฏิบัติงานปกติ ซึ่งได้ปรับเอาหลักของ Lean Management มาใช้ในการการวิเคราะห์งานที่ไม่จำเป็นออกและถ่ายโอนไปให้หุ่นยนต์ทำแทน”

“เช่น พยาบาลต้องไปเช็กสต๊อกของ ยา อุปกรณ์ เครื่องมือการแพทย์ ซึ่งด้วยความเหนื่อยล้า อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในงานได้ งานเหล่านี้จึงควรให้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติทำ แล้วกำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์ไปทำงานที่ต้องอาศัยทักษะวิชาชีพ แพทย์ พยาบาลมากขึ้น ถ้าทำได้ย่อมทำให้ได้ผลลัพธ์ในการทำงานสูงขึ้น”

“ส่วนในการออกแบบหุ่นยนต์ เราเสนอแนวคิดในการออกแบบที่ล้ำสมัยขึ้น ด้วยการใส่ AI ที่เปรียบเหมือนมันสมองเข้าไปในหุ่นยนต์ด้วย สอง ทำให้ตัวหุ่นยนต์มีน้ำหนักเบา สามารถขนของได้ประมาณ 40 กก. ต่างกับรุ่นแรกที่มีขนาดใหญ่เพื่อขนของได้หนักกว่า โดย AI ที่ใส่เพิ่มเข้าไป ทำให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับหุ่นยนต์ได้ ตรวจเช็คผลลัพธ์ของการทำงานของหุ่นยนต์ได้ว่า ทำถูกต้องตามคำสั่งหรือไม่ ขณะเดียวกัน หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์เวอร์ชั่นใหม่นี้ยังสามารถทำ Face Recognition ได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาขั้นต่อไปอีก”

โดยในโอกาสนี้ รศ.นพ.กัมมาล ได้เสนอ แนวคิดในการออกแบบ หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ของไทย ให้มีมาตรฐาน ตอบโจทย์การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ว่าต้องมีหลักการต่อไปนี้

Seamless ใช้งานได้แบบไร้รอยต่อ

ที่ผ่านมา มีหุ่นยนต์ที่สร้างขึ้นมาแล้ว อาจยังไม่ได้นำไปใช้งาน เหตุผลหลักส่วนหนึ่งเป็นเพราะหุ่นยนต์นั้นไม่ได้รับการเชื่อมต่อให้เข้ากับระบบหรือเครื่องมือ อุปกรณ์ ตลอดจนโปรแกรมหรือซอฟแวร์ต่างๆ เรียกได้ว่าหุ่นยนต์เหล่านั้นยังเป็น “ตัวเดียวอันเดียว” ซึ่งถ้าก้าวผ่านข้อจำกัดนี้ไปได้ จะมีส่วนช่วยลดขั้นตอนและเป็นการใช้งานหุ่นยนต์นั้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

Touchless ลดการสัมผัสลงให้ได้

ทุกวันนี้ เมื่อต้องมาโรงพยาบาล ผู้มาใช้บริการยังต้องเสี่ยงกับขั้นตอนการเข้ารับบริการทางการแพทย์ที่ต้องสัมผัสอยู่ ซึ่งนั่น ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ดังนั้น หุ่นยนต์ให้บริการทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ ควรต้องออกแบบมาให้เป็นเทคโนโลยีแบบ Touchless หรือไร้การสัมผัส โดยใช้การสั่งการด้วยเสียงหรือเซนเซอร์ด้วยมือแทน

Timeless ลดเวลาการนั่งรอคิวเข้ารับบริการ

ปัจจุบัน ผู้เข้ารับบริการที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ หลายคนยังคงต้องไปนั่งรอคิวตั้งแต่เช้ามืด เพื่อให้ได้เข้ารับการตรวจในวันนั้น ซึ่งถ้าอ้างอิง

mybotตามงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ระบุว่า คนไปโรงพยาบาล 1 คน ใช้จ่ายเงิน 1,000 บาท ไม่รวมค่ายา แต่นี่เป็นค่ารถ ค่าอาหารการกิน ไม่รวมค่าเสียโอกาสจากการไม่ได้ไปทำงาน

ตรงนี้จึงเกิดคำถามว่า เราจะทำให้ผู้ป่วยรอคิวน้อยลงได้ไหม ซึ่งถ้าทำได้ยังเป็นการช่วยลดความแออัดและความเสี่ยงในการติดเชื้อที่โรงพยาบาลได้ แถมผู้ป่วยและญาติก็สามารถเดินทางกลับไปทำมาหากินได้อย่างรวดเร็ว โดยตรงนี้สามารถนำหุ่นยนต์มาช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการใช้หุ่นยนต์และระบบ AI ในการบริหารจัดการ ทั้งต้อนรับ รับคิว และเดินนำทางผู้ป่วยไปยังห้องตรวจ เป็นต้น

Flawless ความผิดพลาดต่ำสุด

แน่นอนว่างานหลายงานอาจต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ความชำนาญของมนุษย์ ทว่า ยังมีอีกหลายงานที่ถ้ามนุษย์ทำ อาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ แต่ถ้าใช้หุ่นยนต์ควบคู่กับเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ กลับจะช่วยให้งานเหล่านั้นถูกต้อง แม่นยำมากขึ้น

Paperless ลดการใช้กระดาษ รักษ์โลก

การปรับเอาหุ่นยนต์เข้ามาช่วยทำงานในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล จะต้องมีส่วนในการช่วยลดการใช้เอกสารกระดาษ โดยเปลี่ยนไปเป็นการใช้เอกสารซึ่งได้รับการเก็บไว้ในรูปแบบไฟล์เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทน

วิกฤตโรคระบาด สร้างโอกาสพัฒนา หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ของไทย ให้เก่งขึ้น

ด้าน ดร.ธันยวัต สมใจทวีพร ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ได้ให้มุมมองเพิ่มเติมถึงโอกาสที่มาพร้อมกับวิกฤตโรคระบาด ที่ทำให้วงการการสร้าง หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ของไทย ให้พัฒนาไปได้แบบก้าวกระโดดว่า

“ต้องบอกว่าวิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นนี้ ถ้ามองในด้านบวก ก็ต้องพูดว่า “มันเจ๋งมาก” ที่พอเกิดวิกฤตการณ์ปุ๊บ สถาบันและหน่วยงานต่างๆก็สามารถปรับเอาเทคโนโลยีมาสร้างทั้งหุ่นยนต์รวมถึงนวัตกรรมต่างๆ เพื่อรับมือกับวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ได้อย่างทันท่วงที นี่แสดงถึงการเรียนรู้และพัฒนาไม่หยุดยั้งของนักคิดที่อยู่ในทุกภาคส่วนของไทย ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่เราได้เรียนรู้การปรับเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้รับมือวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อวงการแพทย์และสาธารณสุขไทย”

ดร.ธันยวัต สมใจทวีพร ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

“โดยนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นมานั้น ก็มีโอกาสได้นำมาปรับใช้ในทันที ซึ่งผู้คิดค้นก็สามารถไปติดตามผลว่าเมื่อใช้แล้ว ผู้ใช้มีฟีดแบกกลับมาว่าอย่างไร ตรงนี้จึงก่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เช่น วิธีการใช้งานซับซ้อนไปหรือไม่ ถ้าซับซ้อนจะทำอย่างไรให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น เป็นต้น”

นอกจากนั้น ดร.ธันยวัต ยังได้กล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนา หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติสำหรับการบริการทางการแพทย์ ที่ได้ร่วมมือกันคิดค้นและสร้างขึ้นกับทาง มหาวิทยาลัยธรรรมศาสตร์ และบริษัท ทีเคเค คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพิ่มเติมด้วยว่า

“รางวัล Prime Minister Award นี้จัดขึ้นทุกปี โดยในปีนี้กำหนดธีมว่าเป็น Innovation for Crisis หรือนวัตกรรมสู้วิกฤต ซึ่งแนวคิดในการสร้างหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติสำหรับการบริการทางการแพทย์ตัวนี้ ก็สอดคล้องตรงกันกับธีมของงาน คือ นวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้สู้กับโควิด แบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ได้จริง”

“รวมถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณายังดูด้วยว่า เมื่อวิกฤตโควิดคลี่คลาย นวัตกรรมและแนวคิดในการสร้างนวัตกรรมนั้นยังสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาต่อได้หรือไม่ ซึ่งก็ชัดเจนว่า หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติสำหรับการบริการทางการแพทย์ นี้สามารถนำไปพัฒนาต่อเป็น หุ่นยนต์ให้บริการทางการแพทย์ที่ใช้งานในภาวะปกติได้ด้วย”

“โดยในการนำเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณารางวัล Prime Minister Award : Innovation for Crisis ในปีนี้ เราได้นำเสนอเป็นแนวคิด Cell concept ที่จะนำไปปรับใช้ในการวางระบบบเทคโนโลยีในโรงพยาบาลสมัยใหม่ หรือ Digital Hospital ซึ่งเป็นโรงพยาบาล โดยหุ่นยนต์เป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญ ที่จะช่วยยกระดับ พัฒนา Digital Hospital ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้อย่างแท้จริง”

“และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผลงาน หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติสำหรับการบริการทางการแพทย์ ได้รับรางวัลในครั้งนี้ นั่นคือ หุ่นยนต์ตัวนี้ได้ถูกนำไปใช้จริงแล้วในโรงพยาบาลสนาม อย่าง โรงพยาบาลลสนามบุษราคัม เป็นต้น และมีแผนการที่จะนำไปใช้ในโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง ซึ่งนั่นเป็นการตอกย้ำอีกว่า แนวคิดที่ใช้ในการสร้างหุ่นยนต์นี้สามารถสร้างหุ่นยนต์ที่ใช้งานได้จริง แบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ได้จริง”

“นอกจากนั้น การสร้างหุ่นยนต์ให้บริการทางการแพทย์ของเราครั้งนี้ ยังมีกระบวนการเรียนรู้ พัฒนา อย่างต่อเนื่อง จากหุ่นยนต์ตัวแรก ที่เป็นการสร้างในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งเน้นให้มีความแข็งแรง จึงมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก จากนั้น เมื่อเราได้รับฟีดแบกจากผู้ใช้งาน และมีความร่วมมือกับทางต่างประเทศ ก็มีแนวทางที่จะพัฒนาต่อยอดให้หุ่นยนต์นี้เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน หรือ User Friendly มากขึ้น โดยพยายามคงแนวคิดเดิม คือ การให้บริการ หรือ เซอร์วิส ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เหมือนเดิม”

ความร่วมมือกัน คือ Key success ที่มีคุณค่ามากกว่ารางวัลใดๆ

อีกหนึ่งภาคส่วนสำคัญ ที่ทำให้โปรเจกต์ดีๆนี้ประสบความสำเร็จและกวาดรางวัลทั้งในและต่างประเทศมาได้ คือ กัลยาณี คงสมจิตร ประธานกรรมการ บริษัท ทีเคเค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตัวแทนภาคเอกชน ซึ่งจะมากล่าวถึงอีกหนึ่ง Key Success ของนวัตกรรมหุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ฝีมือคนไทย นั่นคือ ความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนนั่นเอง

“1 ใน 5 เกณฑ์ตัดสิน รางวัล Prime Minister Award : : Innovation for Crisis ที่หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติสำหรับการบริการทางการแพทย์ ได้คะแนนสูงสุดก็คือ ความร่วมมือและการประสานกันระหว่างเครือข่ายในแต่ละภาคส่วน ทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสถาบันการศึกษา โดยรางวัลนี้นับเป็นรางวัลอันทรงเกียรติ ที่สถาบันนวัตกรรมแห่งชาติต้องการให้กำลังใจกับผู้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อประเทศไทยในช่วงสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น”

กัลยาณี คงสมจิตร ประธานกรรมการ บริษัท ทีเคเค คอร์ปอเรชั่น จำกัด

“นอกจากนั้น เกณฑ์การพิจารณารางวัลนี้ค่อนข้างเด่นชัดและชัดเจนมาก โดยเฉพาะการพิจารณาว่านวัตกรรมนั้นต้องสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในการต่อสู้กับวิกฤตโควิดได้จริง ช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์หรือประชาชนที่เดือดร้อนได้”

“นวัตกรรมชิ้นนี้ ได้พิสูจน์แล้วว่าทั้งแนวคิดในการสร้างและประสิทธิภาพของหุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ที่สร้างขึ้นนั้นสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง จากที่เป็นหุ่นยนต์ AGV ที่ขับเคลื่อนผ่านทางเส้นแถบแม่เหล็ก กลายมาเป็นหุ่นยนต์ AMR คือ Autonomous Mobile Robot สามารถเดินโดยรอบพื้นที่ 2,000 ตร.ม.ได้ ด้วยต้นทุนการผลิตที่ถูกลงด้วย นี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้เราคว้ารางวัลนี้ได้สำเร็จ”

“และรางวัลที่เราได้รับมาทั้งจากเวทีนานาชาติและเวทีระดับประเทศนี้ ยังเป็นสิ่งที่การันตีว่าเป็นหุ่นยนต์ที่คิดค้นและผลิตโดยคนไทยมีประสิทธิภาพไม่แพ้หุ่นยนต์ชาติใดในโลก ซึ่งการก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ยังเป็นการช่วยชาติลดงบประมาณของแผ่นดินลงได้อีกทางหนึ่งด้วย”

“เพราะที่ผ่านมา หุ่นยนต์ให้บริการทางการแพทย์ส่วนใหญ่จะนำเข้ามาจากต่างประเทศ แต่ทันทีที่คนไทยสามารถประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาได้เอง ต้นทุนตรงนี้จึงถูกลงอย่างมหาศาล โดยกระบวนการในการสร้าง ออกแบบ และผลิต ของเราก็ได้มาตรฐาน รวมถึงฟังก์ชันในการทำงาน สามารถแข่งขันในระดับโลกได้แล้ว”

สุดท้าย ซีอีโอของ ทีเคเค คอร์ปอเรชั่น ได้ย้ำถึงคีย์เวิร์ดสำคัญ คือ ความร่วมมือ ที่สามารถต่อยอดใหเกิดนวัตกรรมดีๆ ให้สังคมไทยว่า

“ในวันนี้ สิ่งที่เราต่อยอดมันไม่ใช่แค่การทำ CSR ของบริษัท หรือองค์กรหน่วยใดหน่วยหนึ่ง แต่มันเป็นเรื่องของการเอาหุ่นยนต์มาพัฒนาต่อยอดเพิ่มศักยภาพให้มัน เพื่อให้เกิดการ Cross industry ระหว่างอุตสาหกรรมโรงงานกับโรงพยาบาล มีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้น ด้วยการ Collaborative Networking สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่มีความเชื่อมโยงสอดประสานกันได้นั่นเอง”

“ในการพัฒนาประเทศชาติปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าการ Synergy กันระหว่างจุดแข็งของแต่ละภาคส่วนสำคัญมาก อย่างการที่ ทีเคเค ร่วมมือกับ สถาบันปัญญาภิวัฒน์ ซึ่งมีบุคลากรทั้งคณาจารย์และนักศึกษาที่มีความรู้เฉพาะทางด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ส่วนทีเคเคเองก็มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ มีประสบการณ์ในด้านสินค้าต่าง ๆ และเทคโนโลยีมากมาย ขณะที่ธรรมศาสตร์เองก็มี Know how เรื่องการแพทย์ พอมี 3 สิ่งนี้ ทุกฝ่ายเลยไม่ได้ใช้เงิน แต่ใช้ใจ ใช้ขุมกำลังความรู้ที่มีทั้งหมดใส่ลงไป หุ่นยนต์ให้บริการทางการแพทย์ตัวต้นแบบจึงถูกสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ”

“จากตัวต้นแบบก็ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนวันนี้เราจะทำโรงพยาบาลอัจฉริยะ หรือ Digital Hospital ซึ่งเกิดขึ้นจริงแล้วที่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา ตั้งอยู่ใน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC โรงพยาบาลแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของประเทศไทยเราเลย มีความล้ำสมัยมากๆ ทุกอย่างจะเป็นดิจิทัลหมด และเชื่อมั่นว่า โรงพยาบาลแห่งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแค่รับเป็นเจ้าภาพแล้วก็ทำอยู่ฝ่ายเดียว เพราะฉะนั้นคำว่า Collaborative Networking ณ วันนี้จึงมีความหมายที่ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ”

Everything  For Your Industrial Need, All in One Place
สนใจโซลูชั่น

ข่าวสารที่เกี่ยวข้อง

Tech
November 27, 2023
TKK – ปตท.- depa แชร์มุมมองพร้อมบทสรุปการเดินหน้า อุตสาหกรรมไทยในอนาคต ตามเทรนด์เทคโนโลยีโลก
จากในตอนที่ 1 บนเวทีเสวนา เรื่อง “มองเทรนด์เทคโนโลยีโลก มองอนาคตอุตสาหกรรมไทย” ในงาน METALEX 2023 ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจไว้มากมายเกี่ยวกับเทรนด์เทคโนโลยีโลก และแนวโน้มการพัฒนา อุตสาหกรรมไทยในอนาคต โดย Speaker ผู้ทรงคุณวุฒิบนเวที 3 ท่าน มาในวันนี้เราขอนำเสนอประเด็นต่อเนื่องที่ได้มีการนำมากล่าวถึง พร้อมข้อแนะนำและโซลูชั่นดีๆ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจของไทยสามารถเข้าถึงและปรับใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์เพื่อก้าวสู่ Industry 4.0 ได้อย่างทันท่วงที
อ่านเพิ่มเติม
Tech
January 4, 2023
ศักยภาพ vs. ความท้าทายของ ‘อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ไทย’ กับก้าวย่างสำคัญสู่ความเป็นหนึ่งในระดับภูมิภาค
อ่านเพิ่มเติม
Tech
July 5, 2022
MyBot หุ่นยนต์บริการ โซลูชั่นที่จะทำให้ธุรกิจร้านอาหารใน Chiang Mai Smart City สมาร์ทขึ้นได้อีก
อ่านเพิ่มเติม